มติชนสุดสัปดาห์ คัมภีร์พุทธธรรมสมัยใหม่ : ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม
เอื้อ อัญชลี เขียน
หนังสือเรื่อง “ สายธรรมพระพุทธเจ้า” (Introducing Buddha) เขียนโดยเจน โฮป แปลโดย ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา เป็นการสำรวจเส้นทางพุทธธรรม จากพุทธกาลถึงโลกสมัยใหม่ ด้วยสายตาและท่าทีที่สนุกสนามคมคาย ผสมผสานระหว่างสื่อทั้งภาพและถ้อยคำ ทำให้รู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่เปิดกว้าง สามารถมีความเต็มอิ่มต่อวิถีชีวิตและตื่นรู้ด้วยหนทางที่ไม่จำกัด เห็นความต่อเนื่องและแปลความหมายที่ก้าวหน้าขึ้นมาก จากปรากฏการณ์ในการเข้าสู่สังคมตะวันตกของพุทธศาสนา กระทั่งพลิ้วไหวระบัดใบแห่งความศรัทธาไปด้วยท่วงทำนองที่ทรงพลังในหลากหลาย รูปลักษณ์ โดยเฉพาะวัชรยานที่เหมือนจะเหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมของชาวตะวันตก
อย่าง พุทธประวัติของพระพุทธเจ้า สำหรับเถรวาทเป็นประมุขสูงสุดของคณะสงฆ์ สำหรับมหายาน พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ และสำหรับวัชรยานพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เข้าถึงธรรม ซึ่งหมายถึงความเป็นพุทธะ หรือความตื่นรู้ที่มีอยู่ในตัวของทุกคน
พุทธ ธรรมสายวัชรยานหรือตันตระ ได้รับการยอมรับในสังคมตะวันตก ซึ่งมีรากฐานของการรองรับสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชน การเข้าถึงธรรมที่รู้แจ้งได้ในทุกสภาพของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ พ่อค้า แม่บ้าน คนจรหมอนหมิ่น หรือใครก็ตาม ล้วนมีสิทธิที่จะเข้าถึงธรรมได้โดยไม่ต้องปฏิเสธตัวตนที่เป็นอยู่ คือการยอมรับธรรมชาติความเป็นจริงตามที่ตัวเองเป็นด้วยความอ่อนโยนต่อ พลังงานด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย และใช้ความเมตตานั้นแปรเปลี่ยนพลังงานไปในทางสร้างสรรค์
เมื่อ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นชาวพุทธวัชรยาน ดังนั้น การนำเสนอพุทธประวัติจึงมุ่งตรงไปที่คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งให้หันหาความรู้แจ้งจากภายในจิตใจของตน
“การศึกษาบนพุทธวิธี คือ ความรู้แจ้งในสรรพสิ่ง
การศึกษาตนเอง คือ การก้าวข้ามจากการยึดถือในตนเอง
การก้าวข้ามตนเอง คือ ความรู้แจ้งในสรรพสิ่ง
ความรู้แจ้งในสรรพสิ่ง คือ การศิโรราบกายและจิตของเรา”
การเข้าถึงกายและจิตของตัวเอง จะหมายถึงการเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเองเพื่อค้นพบว่าสิ่งนั้นนำไปสู่ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อค้นพบว่าสิ่งนั้นนำไปสู่ความคลี่คลายอย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจเหมาะกับสภาพสังคมที่อนุญาตให้กระทำตามความพึงพอใจ แล้วใช้ความพึงพอใจนั้นคลี่คลายตัวเองไปสู่ความสงบใจ
อย่างไรก็ดี มีผู้เข้าใจพุทธตันตระผิดบ่อย ๆ ว่าหมายถึงการทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ตัวอย่างเช่น ศิษย์ตันตระผู้หนึ่งชื่อรุทร อาจารย์บอกว่าให้ค้นหาธรรมจากทุกประสบการณ์ที่ได้พบ รุทรจึงออกไปตั้งซ่องโจร ปล้น ฆ่า และประพฤติชั่วทุกอย่าง เมื่อกลับไปหาอาจารย์อีกครั้ง อาจารย์บอกว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นความผิด รุทรจึงฆ่าอาจารย์ตาย แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่รุทรไม่ต้องการทำสักนิด เขาเพียงแต่ตกเป็นทาสของประสบการณ์ เพราะตามสัจธรรมของพุทธศาสนาไม่ว่าสายไหน คือการแสวงหาหนทางที่อยู่เหนือความทุกข์
อยู่เหนือทุกข์โดยการหักห้ามของหินยาน อยู่เหนือทุกข์ด้วยการให้ของมหายาน หรืออยู่เหนือทุกข์โดยการยอมรับอย่างเป็นมิตรของวัชรยาน
“สายธรรมของพระพุทธเจ้า” เริ่มต้นด้วยพุทธประวัติและธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ซึ่งใจความหลักก็คือ พระพุทธเจ้าทรงเป็นเจ้าชายที่ถูกกักขังอยู่ในพระราชวังแห่งความสุขล้น กระทั่งถูกกระตุ้นเร้าด้วยสัจธรรมของชีวิต ผ่านการศึกษาใคร่ครวญหลากหลายวิธีการ ตั้งแต่การำบำเพ็ญตบะแบบโยคี จนเข้าใกล้ความตายถึงได้กระจ่างว่ามิใช่หนทางแห่งความรู้แจ้ง พระองค์จึงหันไปสร้างกำลังวังชา และเข้าสู่กระบวนการภาวนาอย่างลึกซึ้ง กระทั่งทรงเข้าถึงอิสรภาพทางจิตใจ ความรู้แจ้งรินไหลผ่านเข้ามาเป็นหลักธรรมแห่งอริยสัจ 4 ซึ่งคลอบคลุมชีวิตไว้ภายใต้กฎของความจริงแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และวิถีของการอยู่เหนือทุกข์ ด้วยการเจริญภาวนา
การ เจริญภาวนาจึงกลายเป็นหนทางแห่งความรู้แจ้ง ซึ่งได้ดำเนินมาด้วยการถ่ายทอดปากต่อปาก และความศรัทธาเชื่อถือก็ก่อรูปลักษณ์ผ่านองค์กรสงฆ์ ซึ่งได้บัญญัติกฎระเบียบต่าง ๆ ขึ้นมา จากนั้นการรู้แจ้งด้วยตนเองก็แยกจากความศรัทธาในศาสนา และยังแตกไปในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหินยาน มหายาน และวัชรยาน
เรียกธารธรรมเหล่านี้ว่า “ไตรยาน” อันประกอบด้วย
ยานแรก “หินยาน” แปลว่า ยานลำเล็ก ซึ่งคับแคบ เพราะถือวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ในทางจิตภาวนานั้นเป็นการชะลอความสับสนของจิต
ยานที่สอง “มหายาน” เป็นยานลำใหญ่ ขับเคลื่อนความสันติในใจไปพร้อม ๆ กันกับคนหมู่มาก ผ่านผู้ซึ่งได้อุทิศตนเป็นพระโพธิสัตว์
และยานที่สาม “วัชรยาน” เป็นยานที่ไม่อาจทำลายได้ เพราะความรู้แจ้งนั้นอยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์ พุทธศาสนาแบบดั้งเดิมหรือหินยาน แพร่หลายจากอินเดียไปในศตวรรษที่ 3 สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ซึ่งระทมทุกข์จากการก่อสงคราม
ศตวรรษที่ 9 ท่ามกลางความภักดีต่อเทพเจ้าที่หลากหลายของศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธเริ่มออกไปเบ่งบานยังดินแดนอื่น ทั้งทิเบต จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ด้วยรูปลักษณ์ของมหายาน หรือวิถีแห่งไมตรี
“มหายานเน้นวิถีแห่งไมตรี หรือการเจริญเมตตาต่อตนเอง กล่าวคือ เราต้องเป็นมิตรที่ดีของตนด้วยการเป็นมิตรต่อด้านลบต่าง ๆ ของตน”
“พวก เราแข็งกร้าวเมื่อปฏิเสธบาดแผลภายใน และต่อว่าผู้อื่นว่าเป็นเหตุแห่งความเจ็บปวดของเรา หากเมื่อเรายอมรับความเจ็บปวดอย่างเมตตา เราจะพบว่า แท้จริงแล้ว เราอ่อนโยนและบอบบาง”
มหายานมีชื่อเสียงในนามว่า “เซน” ซึ่งอิงอยู่กับกับวิธีคิดแบบโลกตะวันออก
น่าสนใจว่าวัชรยานนั้นกลับสอดคล้องยิ่งนักกับสภาพของสังคมตะวันตก กำเนิดของวัชรยานยังประเทศทิเบต มีศาสนาพื้นถิ่นคือ “เพิน” ซึ่งเป็นการบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ เช่น เทพซา ซึ่งเป็นเทพแห่งพลังจิต เทพแห่งแสงสว่าง และลูกเห็บ เทพเจ้าเหล่านี้เชื่อมโยงระหว่างผืนแผ่นดินกับชาวนา ครั้นเมื่อศาสนาพุทธเข้ามาก็ไม่ได้มองเห็นอื่นใด นอกเหนือจากเรื่องพืชพรรณผลผลิต พระศานติรักษิต เป็นธรรมาจารย์จากอินเดียคนแรกที่มาสู่ทิเบตพร้อมกับภัยธรรมชาติ ความเป็นพระภิกษุในขนบดั้งเดิมของหินยานและมหายานทำให้ศาสนาพุทธได้รับการ หมางเมิน
กระทั่งการมาถึงของธรรมาจารย์องค์ที่สอง คือพระปัทมสัมภวะซึ่งสำเร็จเป็นสิทธะแห่งตันตระหรือผู้ฝึกวัชรยาน วัชรยานโน้นนำหนทางของการเข้าถึงความรู้แจ้งด้วยประสบการณ์ทุกรูปแบบ รวมถึงพลังงานทุก ๆ ด้านของมนุษย์ที่ไม่ต้องเก็บกดทำลาย เพียงแต่รู้จักนำมาแปลงรูปเพื่อกระตุ้นความตื่นรู้จากภายใน
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในสายอาชีพอะไร ล้วนสามารถบรรลุศักยภาพด้วยพลังตันตระ
ยกตัวอย่างพระปัทมสัมภวะ ซึ่งใช้พลังของตันตระที่ไม่ปฏิเสธผู้ต่อต้านศาสนาพุทธที่เรียกว่าปีศาจ หากเปลี่ยนแปลงพลังของปีศาจเหล่านั้นให้มาเป็นผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธแทน การไม่ทำลายหรือขจัดพลังงานของปีศาจ ก็คือการแปรเปลี่ยนในความหมายของตันตระ หรือบ้างก็เรียกว่า เป็นการใช้ “ปัญญาบ้า” หรือพลังงานดิบเหล่านั้นเป็นเครื่องทะลวงพ้นมายา ทุกคนจึงบรรลุตันตระได้ด้วยวิถีทางของตน เช่น เด็กเกเรบรรลุสัจธรรมได้ด้วยการเข้าถึงความเกเร ไม่ใช่การปฏิเสธความเกเร หรือเก็บกดพลังงานของความเกเรนั้นไว้ อาจพูดว่าทุกคนย่อม มีสภาพที่เหมาะสมสำหรับตัวเองในการบรรลุธรรม ไม่ว่าจะเป็นโสเภณี นักพนัน กษัตริย์ หรือเจ้าชาย มีความเสมอภาคในวิถีแห่งการรู้แจ้งได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปแบบภายนอก หากเปลี่ยนที่ภายในจิตใจ
หนทางแห่งวัชรยานย่อมเต็มไปด้วย พลังงานที่ยากควบคุมได้เอง หากปราศจากอาจารย์ผู้ชี้แนะคงเป็นความเจ็บปวดจนแตกสลายไปเสียก่อน อาจารย์และศิษย์จึงเป็นความสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ของการฝึกตันตระหรือวัชร ยาน ยกตัวอย่าง มิลาเรปะ ศิษย์ของท่านมารปะ ซึ่งได้สอนตันตระด้วยการทำลายความคาดหวังของศิษย์ โดยสั่งให้สร้างและรื้อสิ่งก่อสร้างอยู่หลายครั้ง จนมิลาเรปะเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อสิ้นหวังและสิ้นความคาดหวังแล้วนั่นเอง จึงเข้าถึงสภาวะที่ไร้อัตตาความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเท่ากับบรรลุธรรมโดยไม่รู้ตัว
วิถีตันตระจึงเต็มไปด้วยความรัก แต่ก็เย็นชายิ่งนัก
ศาสนาพุทธสายวัชรยานเดินทางไปยังประเทศตะวันตก ด้วยสถานะของผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทว่า ผู้ซึ่งเข้าถึงวิถีแห่งตันตระย่อมไม่ยึดมั่น หากยังเปิดรับประสบการณ์ในดินแดนใหม่ และเพราะคนตะวันตกยังไม่ถูกปรุงแต่งด้วยประเพณี จึงมีจิตใจที่เปิดรับพุทธธรรมด้วยความสดใหม่ สถานการณ์ของศาสนาพุทธในโลกตะวันตกจึงเบ่งบานด้วยท่าทีที่มีแก่นสารอันคมคายเสียมากกว่าการยึดติดรูปแบบของธรรมเนียมความนับถือ ในสังคมตะวันตก พุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของฆราวาสเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ ทว่า ด้านหนึ่งก็หลงทาง เช่น การนับถือศาสนาพุทธที่เฟื่องฟูขึ้นมาพร้อมกับวิถีของฮิปปี้ในปลายยุค 60 ซึ่งไม่ได้มีแก่นสารอย่างแท้จริง
ท่านพุทธทาสได้เคยกล่าวถึง ฮิปปี้ในมุมมองของพุทธศาสนาว่า ฮิปปี้เพียงแต่เกิดความกดดันทางศีลธรรม แล้วปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของการหลอกตัวเองว่าเป็นความมีอิสระ หากไม่ใช่วิถีของพุทธบริษัท
สายธรรมของพระพุทธเจ้าที่อยู่ตรงหน้าเรา หมายถึงการรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้
ธรรมชาติแห่งพุทธะ เป็นอิสระแต่เริ่มต้น
ตอบลบชอบ Blog นี้มากๆครับ